สถานการณ์ไซเบอร์

Surveillance

แก้ไขล่าสุดเมื่อ :
ไม่มีไฟล์แนบ

ออสเตรเลียใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อตรวจผู้ออกนอกบ้านในช่วงปิดเมือง

สำนักข่าว Reuters รายงานเมื่อ ๑๖ ก.ย. ๖๔ ว่า ออสเตรเลียได้ทดลองใช้ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าที่อนุญาตให้ตำรวจตรวจสอบผู้คนว่าอยู่บ้านหรือไม่ในช่วงกักกันโรค COVID-19 ในสองรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของออสเตรเลีย

บริษัทเทคโนโลยี Genvis ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าระบุบนเว็บไซต์ของตนว่ารัฐ    นิวเซาท์เวลส์ และรัฐวิกตอเรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซิดนีย์ และเมลเบิร์น ที่มีประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร ๒๕ ล้านคนของออสเตรเลีย กำลังทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จดจำใบหน้าของ Genvis โดยเป็นการทดลองด้วยความสมัครใจ

โดยระบบที่กำลังทดลองใช้ ผู้คนจะตอบสนองต่อคำขอเช็คอินแบบสุ่มโดยใช้การ "ถ่ายรูปตนเอง (เซลฟี่)" ตามที่อยู่กักกันที่กำหนดไว้ หากซอฟต์แวร์ซึ่งรวบรวมข้อมูลตำแหน่งแล้วไม่พบภาพใบหน้าของผู้ถูกกักกัน  ตำรวจอาจเข้าไปเยี่ยมสถานที่กักกันแห่งนั้นเพื่อยืนยันที่อยู่ของบุคคล เทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียมาก่อนแล้วตั้งแต่ พ.ย. ๖๓ ซึ่งได้กำหนดให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ารัฐกักตัวในโรงแรมเป็นเวลาสองสัปดาห์ภายใต้การดูแลของตำรวจ

นางสาว Kirstin Butcher ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Genvis อ้างว่า จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อตรวจสอบว่ามีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการกักตัวอยู่บ้านหรือไม่เพื่อรองรับแผนการเปิดสังคมและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มีผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนเตือนว่าเทคโนโลยีอาจถูกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้ในอนาคต นอกจากนี้ คุณ Toby Walsh ศาสตราจารย์ด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าอาจถูกเจาะระบบเพื่อแจ้งรายงานตำแหน่งปลอม

เอ็ดเวิร์ด ซานโตว์ อดีตกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนของออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำโครงการจริยธรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ซิดนีย์ ระบุว่ากฎหมายควรป้องกันไม่ให้ระบบตรวจสอบการกักกันถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าอาจดูเหมือนเป็นวิธีที่สะดวกในการตรวจสอบผู้คนที่ถูกกักกัน แต่หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีนี้ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดอันตราย จากข้อกังวลดังกล่าว รัฐบาลของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ระบุว่า ได้สั่งห้ามไม่ให้ตำรวจใช้ข้อมูลที่รวบรวมโดยซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ COVID ในเรื่องที่ไม่ใช่ COVID แล้ว และยังกล่าวว่าพวกเขาได้ตรวจสอบการกักบริเวณที่บ้านของประชาชนกว่า ๙๗,๐๐๐ คนโดยใช้ระบบจดจำใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ