สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานเมื่อ ๒๕ พ.ย.๖๔ ว่า อิสราเอลได้ตัดลดรายชื่อประเทศที่มีสิทธิ์ซื้อเทคโนโลยีไซเบอร์ของอิสราเอลเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดในต่างประเทศของเครื่องมือเจาะระบบแฮกที่จำหน่ายโดยบริษัท NSO Group ของอิสราเอล
หนังสือพิมพ์การเงิน Calcalist ของอิสราเอล ระบุว่า เม็กซิโก โมร็อกโก ซาอุดีอาระเบีย เม็กซิโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกห้ามไม่ให้นำเข้าเทคโนโลยีไซเบอร์ของอิสราเอล รายชื่อประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อได้ถูกตัดเหลือเพียง ๓๗ ประเทศ จากเดิม ๑๐๒ ประเทศ เนื่องจากอิสราเอลอยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะควบคุมการส่งออกสปายแวร์ตั้งแต่ ก.ค. ๖๔ เมื่อกลุ่มองค์กรข่าวระหว่างประเทศรายงานว่าเครื่องมือ Pegasus ของ NSO ถูกใช้เพื่อแฮกโทรศัพท์ของนักข่าว เจ้าหน้าที่รัฐบาล และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในหลายประเทศ จึงกระตุ้นให้อิสราเอลทบทวนนโยบายการส่งออกทางไซเบอร์ที่ดำเนินการโดยกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลซึ่งระบุในแถลงการณ์ว่าต้องใช้ "ขั้นตอนที่เหมาะสม" เมื่อเงื่อนไขการใช้งานที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตส่งออกนั้นถูกละเมิด แต่ไม่ได้ยืนยันว่ามีการเพิกถอนใบอนุญาตใดๆ
โมร็อกโกและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งทั้งคู่รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้กลับสู่ปกติเมื่อปี ๒๕๖๓ เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียและเม็กซิโก อยู่ในประเทศที่พบการใช้มัลแวร์ Pegasus เพื่อสอดแนมทางการเมือง ตามรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลและ Citizen Lab ของมหาวิทยาลัยโตรอนโตซึ่งศึกษาเรื่องการเฝ้าระวังความปลอดภัย
ด้านบริษัท NSO ได้ปฏิเสธการกระทำผิดกฎหมายใดๆ โดยระบุว่าได้ขายเครื่องมือของตนให้กับรัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น และมีมาตรการป้องกันเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด
ทั้งนี้ บริษัท NSO เริ่มประสบปัญหาทางธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อต้นเดือน พ.ย. ๖๔ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้กำหนดให้ NSO อยู่ในบัญชีดำการค้าขายสปายแวร์ให้กับรัฐบาลที่ใช้สปายแวร์ในทางที่ผิด ซึ่ง NSO เห็นว่าผิดหวังกับการตัดสินใจดังกล่าว เนื่องจากเทคโนโลยีของบริษัท "สนับสนุนผลประโยชน์และนโยบายด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยป้องกันการก่อการร้ายและอาชญากรรม"นอกจากนี้ NSO ยังต้องเผชิญกับการฟ้องร้องและการวิพากษ์วิจารณ์จากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่กล่าวหาว่าเปิดเผยให้ลูกค้าของตนถูกแฮก Apple เป็นรายล่าสุดที่ฟ้องบริษัท NSO