สถานการณ์ไซเบอร์

ปัญญาประดิษฐ์

แก้ไขล่าสุดเมื่อ :
ไม่มีไฟล์แนบ

สถาปัตยกรรม AI ที่สมบูรณ์สามารถพลิกโฉมธุรกิจได้ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ

เว็บไซต์ weforum.org รายงานเมื่อ ๑๒ ธ.ค.๖๔ ว่า การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายในองค์กรสมัยใหม่นั้น เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อให้คอมพิวเตอร์นำมาประมวลในการทำงานที่หลากหลายได้ดีขึ้น ปัญญาประดิษฐ์จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต และสร้างนวัตกรรมใหม่

การมีสถาปัตยกรรม AI ที่แข็งแกร่ง จะช่วยขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลภายในบริษัทและภาคธุรกิจอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเมื่อประสานเข้ากับเทคโนโลยี AI ขั้นสูง เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing : NLP) ระบบการเรียนรู้อัตโนมัติของเครื่องจักร (Machine Learning : ML) หรือแบบอื่น

               - ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเสริมสร้างประสบการณ์แก่ลูกค้า และปรับปรุงการสนทนากับลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจ 

               - รูปแบบของธุรกิจในระยะถัดไป คือ การสร้างสถาปัตยกรรม AI แบบหลายชั้นที่ผสานรวมความรู้ในอุตสาหกรรมเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย

              - สถาปัตยกรรมด้าน AI ที่แข็งแกร่งนั้น จะรวมฟังก์ชันของธุรกิจทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน สร้างความแตกต่างในระดับยุทธศาสตร์ที่สามารถพลิกโฉมอุตสาหกรรมได้ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ

ในปี ๒๕๖๔ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เกิดการผลักดันวิธีการดำเนินการและการสื่อสารรูปแบบเสมือนจริงไปทั่วโลก ช่วยให้ผู้คนเชื่อมต่อถึงกันแม้จะอยู่ต่างสถานที่ สิ่งนี้เองกระตุ้นให้เกิดการนำกลยุทธ์ด้านดิจิทัลมาใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการใช้ AI และระบบอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางธุรกิจ เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และช่วยจัดการประสบการณ์ในรูปแบบไร้การสัมผัส

รูปแบบของธุรกิจในระยะถัดไป คือ การสร้างสถาปัตยกรรม AI แบบหลายชั้นที่ผสานรวมความรู้ในอุตสาหกรรมเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น NLP, กระบวนการประมวลผลอัตโนมัติของหุ่นยนต์        (Robotic Processing Automation : RPA), ML และการวิเคราะห์ขั้นสูง เมื่อนำมาใช้กับระบบคลาวด์ สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการทำงานที่หลากหลายทางธุรกิจ ไม่ว่าเป็นการขาย การตลาด การบริการลูกค้า การดำเนินงาน การเงิน ทรัพยากรบุคคล ฯลฯ

  

แนวโน้มรายได้จากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ระหว่างปี ๒๕๕๙ - ๒๕๖๘

International Data Corporation (IDC) ของ Futurescapes คาดการณ์ว่าปี ๒๕๖๕ จะมีบริษัทอย่างน้อยร้อยละ ๖๕ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อาทิ NLP, ML และ Deep Learning ทำงานระบบอัตโนมัติต่างๆ อาทิ การตอบคำถามเกี่ยวกับการบริการลูกค้า ทรัพยากรบุคคล การจัดซื้อ และอื่นๆ

ภาคธุรกิจจะสามารถวิเคราะห์ เข้าใจสีหน้า อารมณ์ และระดับการมีส่วนร่วมของผู้คนได้ดีขึ้น ทั้งในระหว่างการประชุม หรือเมื่อลูกค้ามีปฏิกิริยาต่อแบรนด์โดยใช้เทคโนโลยีด้านวิดีโอ โดยข้อมูลเชิงลึกที่ดึงมาช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น สามารถปรับปรุงการดำเนินการทางธุรกิจ และที่สำคัญที่สุด คือ ช่วยผลักดันให้มีการสื่อสารที่ดีขึ้น และมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล

ตัวอย่างเช่น ผู้บรรยายในการประชุมเสมือนจริงที่นำเสนอต่อผู้ฟังมากกว่าร้อยคนจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าผู้ฟังแต่ละคนมีส่วนร่วมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ใช้วิดีโอ AI สามารถตรวจจับและช่วยตีความการแสดงออกทางสีหน้าและการเคลื่อนไหวของดวงตา เพื่อช่วยกำหนดว่าผู้ฟังมีการปรับจูนอย่างไร ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกป้อนกลับเพื่อให้ผู้พูดได้เรียนรู้และปรับปรุงการนำเสนอและทักษะการพูดในที่สาธารณะ ทั้งในช่วงเวลาและหลังงาน ข้อมูลอาจถูกนำไปประมวลอีกขั้นเพื่อวัดความเชื่อมั่นของผู้ชมที่มีต่อการนำผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะไปใช้

ในโลกยุคดิจิทัลที่ก้าวล้ำในปัจจุบัน ความสามารถในการ "ตรวจจับและดำเนินการ" กับองค์ประกอบทั้งหมดของการสนทนา ซึ่งรวมถึงตัวบ่งชี้ด้วยภาพ อารมณ์ และการมีส่วนร่วม กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับธุรกิจที่มองหาความได้เปรียบทางการแข่งขัน

การมีสถาปัตยกรรม AI ที่แข็งแกร่งซึ่งรวมเอาฟังก์ชันทั้งหมดของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน จะเป็นตัวสร้างความแตกต่างเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมทั้งหมดได้ด้วยนวัตกรรม