สถานการณ์ไซเบอร์

ปัญญาประดิษฐ์

แก้ไขล่าสุดเมื่อ :
ไม่มีไฟล์แนบ

แนวโน้มการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ ( AI ) ในปี ๒๕๖๕

เว็บไซต์ Fobes.com รายงานเมื่อ ๒๒ ธ.ค.๖๔  ได้ทำนายแนวโน้มการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ AI ในปี ๒๕๖๕ ๑๐ อันดับ มีรายละเอียดดังนี้

๑) การประมวลผลภาษาธรรมชาติ Natural Language Processing (NLP) จะเป็นสาขาย่อยของ AI ที่มีความโดดเด่นที่สุด เนื่องจากภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน การสื่อสารด้วยการใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องแม่นยำและเป็นไปโดยอัตโนมัติจึงเป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไม่มีขอบเขต การประมวลผลภาษาธรรมชาติได้รับการปรับปรุงอย่างมากภายหลังบริษัท Google นำเสนอเทคโนโลยี transformers เมื่อปี ๒๕๖๐ ซึ่งทำให้การใช้ AI ด้านภาษาสามารถนำมาใช้งานได้จริงในหลายธุรกิจ ส่งผลให้เมื่อปี ๒๕๖๔ กลุ่มทุนหลายแห่งได้ลงทุนในเทคโนโลยี NLP อาทิ บริษัท Hugging Face ซึ่งเป็น startup ด้าน NLP มีมูลค่าถึง ๔๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มจะมีมูลค่ามากกว่า ๑,๐๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (unicorn) ในปี ๒๕๖๕ และมีแนวโน้มจะต่อเนื่องไปอีกหลายปี เนื่องจากผู้ประกอบการจะเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจโดยใช้ AI แบบ NLP มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้ระบบเป็นอัตโนมัติ

๒) เครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนา AI จะแพร่หลายมากขึ้น บริษัทวิศวกรรมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล (Databricks) บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการของการทำงานแบบอัตโนมัติ (DataRobot) และบริษัท Scale AI ผู้ให้บริการ AI เป็นบริษัท ๓ แห่งที่ถือเป็นผู้นำในการสร้าง AI สำหรับเศรษฐกิจสมัยใหม่ ที่จะช่วยสนับสนุนการใช้เครื่องมือและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้เทคโนโลยี AI ของบริษัทอื่น โดยบริษัททั้ง ๓ แห่งมีอัตราการเติบโตอย่างมากในปี ๒๕๖๓ และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี ๒๕๖๕ ซึ่งจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แพร่หลายมากขึ้น

๓) บริษัทสตาร์ทอัพด้านสภาพภูมิอากาศด้วยเทคโนโลยี AI ๓ แห่งจะเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจ เทคโนโลยีการจัดการสภาพภูมิอากาศด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Climate AI) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุดและมีเงินทุนหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมากในปี ๒๕๖๔ และมีแนวโน้มเติบโตเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (unicorn) ในปี ๒๕๖๕ ผู้นำทางธุรกิจที่มีแนวโน้มมากที่สุดคือ บริษัทที่สร้างเครื่องมือสำหรับเศรษฐกิจคาร์บอนใหม่ (เช่น การทำบัญชีก๊าสคาร์บอนขององค์กร โครงสร้างพื้นฐานการชดเชยการปล่อยก๊าสคาร์บอน) โดยบริษัทที่จะมาเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี Climate AI ได้แก่ : Cervest, ClimateAi, Gro Intelligence, Kettle, KoBold Metals, NCX, Pachama, Patch, Persefoni, Watershed

๔) จะมีเทคโนโลยี AI สำหรับการประมวลผลวิดีโอมากขึ้น วิดีโอเป็นสื่อกลางที่สำคัญสำหรับชีวิตดิจิทัล โดยเมื่อในปี ๒๕๖๓ จากรายงานบรริษัท Cisco พบว่าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากกว่าร้อยละ ๘๐ เป็นข้อมูลวิดีโอ  มีการดูวิดีโอกว่าวันละ ๗,๐๐๐ ล้านครั้งบน YouTube และมีการอัพโหลดวิดีโอกว่าวันละ ๑๐๐ ล้านครั้งไปยัง TikTok ขณะที่บริการของ Netflix, Amazon Prime Video, Disney+, Hulu และ HBO Max ต่างเป็นบริการถ่ายทอดเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ตที่ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์วิดีโอด้วยเทคโนโลยี deep learning ยังถือว่ามีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลรูปแบบอื่น เช่น รูปภาพและข้อความ ดังนั้นในปี ๒๕๖๕ คาดว่าจะเห็นเครื่องมือ AI สำหรับใช้งานด้านวิดีโอมากขึ้น ตั้งแต่การค้นหาวิดีโอ การตัดต่อวิดีโอ ไปจนถึงการสร้างวิดีโอ

๕) ตัวแบบ NLP ที่ถูกสร้างขึ้นจะมีพารามิเตอร์มากกว่า ๑๐ ล้านล้านรายการ เมื่อปี ๒๕๖๐ ทีมพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท OpenAI ได้พัฒนา GPT-2 ซึ่งเป็นโมเดลแรกที่มีพารามิเตอร์มากกว่า ๑,๐๐๐ ล้านรายการ และต่อมาได้พัฒนา GPT-3 ซึ่งมีพารามิเตอร์กว่า ๑๗๕,๐๐๐ ล้านรายการ จนกลายเป็นโมเดล AI ที่ใหญ่ที่สุด แต่ต่อมาเมื่อปี ๒๕๖๔ ก็ถูกทำลายสถิติโดยโมเดลจาก Google ซึ่งมีพารามิเตอร์กว่า ๑.๖ ล้านล้านรายการ และต่อมาสถาบันปัญญาประดิษฐ์แห่งปักกิ่งก็พัฒนาโมเดลที่มีพารามิเตอร์กว่า ๑.๗๕ ล้านล้านรายการ และคาดว่าโมเดล NLP จะมีขนาดใหญ่ขึ้นในปี ๒๕๖๕ โดยเฉพาะโมเดล GPT-4 จากทีม OpenAI

๖) อเมริกันและชาวจีนจะยุติความร่วมมือและการลงทุนด้าน AI ในปี ๒๕๖๔ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการขึ้นบัญชีดำบริษัทชั้นนำของจีนหลายแห่ง อาทิ บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI (SenseTime) บริษัทผู้ผลิตโดรน (DJI) และองค์กร AI ชั้นนำของจีนอีกหลายแห่ง บริษัทเหล่านี้เป็นหนึ่งในบริษัท AI ที่สำคัญที่สุดในจีน คณะกรรมการการลงทุนต่างประเทศในสหรัฐฯ (CFIUS) กำลังดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทจากจีนลงทุนหรือเข้าถึงเทคโนโลยี AI ในสหรัฐฯ จากท่าทีดังกล่าวของสหรัฐ ฯ ส่งผลในปี ๒๕๖๕ มีแนวโน้มที่จีนกับสหรัฐฯจะไม่ร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี AI

๗) บริษัทขนาดใหญ่ด้านเทคโนโลยีคลาวด์และ Big Data จะผลักดันให้เกิดข้อมูลสังเคราะห์ในรูปแบบใหม่ บริษัท Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี ๒๕๖๗ ข้อมูลสังเคราะห์จะคิดเป็นร้อยละ ๖๐ ของข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนา AI โดย บริษัท Facebook ได้เข้าซื้อกิจการ AI.Reverie บริษัทที่สังเคราะห์ข้อมูลหรือสร้างข้อมูลขึ้นมาเพื่อใช้ฝึกฝน (train) โมเดล Machine Learning ปี ๒๕๖๕ บริษัทการประมวลผลหลายแห่งจะเปิดตัวเทคโนโลยีในการสังเคราะห์ข้อมูล เนื่องจากพวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีต่อ AI ในอนาคต และพยายามดึงดูดผู้สร้างจำนวนมากขึ้นสู่ระบบนิเวศของบริษัทเหล่านั้น บริษัทที่มีแนวโน้มทำข้อมูลสังเคราะห์ได้แก่ : Amazon Web Services, Microsoft Azure, Google Cloud Platform, Unity Technologies, Scale AI

๘) เมืองโทรอนโต แคนาดา จะเป็นศูนย์กลาง AI แห่งใหม่ของโลกนอกเหนือจากสหรัฐฯ และจีน รายงานของ CBRE ระบุว่า มหานครโทรอนโต-วอเตอร์ลู เป็นตลาดด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่เป็นอันดับ ๒ ในอเมริกาเหนือสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ ๑ บริษัท Vector Institute ของแคนาดาก็ถือเป็นหนึ่งในองค์กรวิจัย AI ที่ใหญ่ที่สุด ตลอดจนบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลกได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในเมืองนี้ ซึ่งรวมถึง Google Microsoft และ IBM ได้เข้ามีส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และคาดว่าบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ระดับโลกจำนวนมากจะเกิดขึ้นในเมืองโทรอนโต

๙) การพัฒนา AI จะมีความรับผิดชอบมากขึ้น เทคโนโลยี AI มีการพัฒนาเร็วกว่าการถูกนำไปปรับใช้อย่างมีความรับผิดชอบ มีจริยธรรม และเป็นธรรม นักวิจัยหลายรายจึงได้สนับสนุนให้การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ โดยคาดว่าในปี ๒๕๖๕ จะเริ่มเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติและชุดเครื่องมือ AI ที่มีความรับผิดชอบและดำเนินการได้จริง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมาจากทั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (เช่น Microsoft, IBM) และบริษัทสตาร์ทอัพ (เช่น Parity, Fiddler Labs) ซึ่งน่าจะส่งผลให้เกิดแนวทางปฏิบัติด้าน AI ที่มีความรับผิดชอบจนอาจนำไปสู่การเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมหรือกลายเป็นกฎระเบียบต่อไป

๑๐) AI แบบ Reinforcement Learning จะมีบทบาทสำคัญและมีอิทธิพลมากขึ้น แนวทางที่โดดเด่นของ AI ทั่วไปคือการเรียนรู้ภายใต้การดูแลของมนุษย์ การรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก ติดป้ายกำกับ และป้อนข้อมูลลงในแบบจำลอง เพื่อให้ AI เรียนรู้รูปแบบข้อมูล (supervised learning) แต่การเรียนรู้แบบ Reinforcement Learning นั้น AI ไม่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริงที่ผ่านมาและไม่จำเป็นต้องใส่อะไรเข้าไป แต่ AI จะเรียนรู้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งเป็นการปลดล็อกความสามารถของ AI ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่ระบบให้คำแนะนำ หุ่นยนต์ และยานพาหนะอัตโนมัติ