สนข. Deutsche Welle รายงานเมื่อ 26 พ.ค.66 ว่า ประธานาธิบดี Aleksandar Vučić ของเซอร์เบียเรียกประชุมสภาความมั่นคงฉุกเฉิน ขณะที่ รมว.กห.เซอร์เบียสั่งการยกระดับความพร้อมทางทหารและเคลื่อนกำลังพลบางส่วนประชิดพื้นที่ติดกับทางตอนเหนือของคอซอวอ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความไม่สงบในคอซอวอ ภายหลังเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจคอซอวอกับผู้ประท้วงชาวเซิร์บในพื้นที่ Zvecan Leposavic Zubin และ Potok ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวเซิร์บอาศัยอยู่มากที่สุดในคอซอวอ เนื่องจากผู้ประท้วงกีดขวางไม่ให้นายกเทศมนตรีชาวแอลเบเนียนคนใหม่ของทั้ง 4 เขต เดินทางเข้าสู่สำนักงานเพื่อเริ่มปฏิบัติงาน และมีการเผาทำลายยานพาหนะของกองกำลัง Kosovo Force (KFOR) ของ NATO ที่พยายามเข้ารักษาความสงบ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อกระบวนการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมื่อ 23 เม.ย.66 และสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อ 25 พ.ค.66แทนอดีตนายกเทศมนตรีชาวเซิร์บที่ลาออกเมื่อ พ.ย.65 เพื่อประท้วงกฎหมายการเปลี่ยนป้ายทะเบียนยานพาหนะจากเซอร์เบียเป็นคอซอวอทั้งหมด นอกจากนี้ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมนีออกแถลงการณ์ร่วมประณามการใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วง พร้อมเรียกร้องต่อคอซอวอให้ประสานงานใกล้ชิดกับคณะทำงานด้านกฎหมาย The European Union Rule of Law Mission in Kosovo (EULEX) ของสหภาพยุโรป และ KFOR ขณะเดียวกันก็ประณามการโจมตี สนง.EULEX (โดยไม่ระบุฝ่าย) พร้อมแสดงความกังวลต่อท่าทีของเซอร์เบียและเรียกร้องให้ใช้ความอดกลั้นต่อสถานการณ์ ขณะที่ สอท.รัสเซีย ประจำกรุงเบลเกรด เซอร์เบีย แถลงเมื่อ 27 พ.ค.66 ประณามคอซอวอและเรียกร้องให้ยุติการทำร้ายพลเรือน (นัยถึงผู้ประท้วง) ทั้งนี้ ประชากรร้อยละ 90 ของคอซอวอเป็นชาวแอลเบเนียนนับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 10 เป็นชาวเซิร์บนับถือศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์เหมือนกับเซอร์เบีย อนึ่ง คอซอวอประกาศเอกราชแต่เพียงฝ่ายเดียวแยกดินแดนออกจากเซอร์เบียเมื่อปี 2551 โดยมี 116 ประเทศรับรอง อาทิ สหรัฐฯสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และไทย ขณะที่รัสเซียใช้สิทธิยับยั้ง (Veto) การรับรองและสนับสนุนเซอร์เบียตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1244 ทั้งนี้ เซอร์เบียเป็นประเทศเดียวในยุโรปที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับรัสเซียในระดับปกติภายหลังรัสเซียบุกยูเครน เมื่อ 24 ก.พ.65