สนข.CNN Tass และ Interfax รายงานเมื่อ 7 มิ.ย.66 ว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่เขื่อนโนวาคาคอฟกา ภูมิภาคเคอร์ซอนแตก เมื่อ 6 มิ.ย.66 ทำให้ทางการต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากเกิดน้ำท่วมฉับพลัน โดยระดับน้ำท่วมสูงสุดประมาณ 12 เมตร ส่งผลให้พลเรือนกว่า 14,000 ครัวเรือนหรือประมาณ 22,000 คน ต้องอพยพออกจากพื้นที่และสถานการณ์มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น ความเสียหายเบื้องต้นพบว่าระบบชลประทานกว่า 31 แห่งในยูเครนซึ่งเป็นแหล่งผลิตธัญพืชกว่า 4 ล้านตันเสียหาย ระบบประมงทั้งสัตว์น้ำจืดและน้ำเค็มถูกทำลาย และอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีในการซ่อมแซม อีกทั้งอาจทำให้ทุ่นระเบิดในพื้นที่สู้รบเปลี่ยนตำแหน่งซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับการส่งความช่วยเหลือ ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขื่อนแตก แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียและยูเครนต่างกล่าวหากันว่าอีกฝ่ายก่อวินาศกรรม ขณะที่ เยอรมนี ออสเตรีย ลิทัวเนีย เริ่มส่งความช่วยเหลือไปยังพลเรือนในพื้นที่แล้ว อาทิ เครื่องกรองน้ำ เครื่องปั่นไฟ เครื่องสูบน้ำและโคลน ถังเก็บน้ำ รวมถึงอุปกรณ์ยังชีพ ขณะที่กระทรวงป้องกันพลเรือน สถานการณ์ฉุกเฉินและบรรเทาสาธารณภัยและกระทรวงกลาโหมของรัสเซียเร่งช่วยเหลือการอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่ ทั้งนี้ เขื่อนดังกล่าวเปิดทำการตั้งแต่ปี 2493 เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ที่สร้างสำหรับผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ สามารถกักเก็บน้ำได้ประมาณ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยูเครนและมีความสำคัญต่อการควบคุมปริมาณน้ำในแม่น้ำนีเปอร์ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของยูเครน อีกทั้งอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิเคลียร์ซาโปริเซียไปทางใต้ ประมาณ 130 กม. โรงไฟฟ้าจึงใช้น้ำจากเขื่อนในระบบหล่อเย็น อย่างไรก็ดี IAEA ประเมินว่าสถานการณ์ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาโปริเซีย เพราะยังมีน้ำจากแหล่งอื่นสำรองทดแทนเพียงพอแต่ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด นอกจากนี้ สันเขื่อนดังกล่าวยังเป็นหนึ่งในเส้นทางคมนาคมทางถนนและรถไฟในการข้ามแม่น้ำนีเปอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่เป็นเส้นแบ่งพื้นที่ครอบครองการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ดังนั้น ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างได้รับผลกระทบจากกรณีนี้ อนึ่ง เขื่อนนี้เริ่มมีรอยแตกที่สันเขื่อน มีน้ำรั่วไหลตั้งแต่ 2 มิ.ย.66 และสันเขื่อนขาดออกจากกันเมื่อ 6 มิ.ย.66