กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) เผยแพร่รายงาน World Economic Outlook เมื่อ 22 ต.ค.67 ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปี 2567 และ 2568 จะขยายตัวร้อยละ 3.2 ลดลงเล็กน้อยจากเมื่อปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.3 โดยเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวมากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 5.3 ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดลงต่อเนื่องจากร้อยละ 6.7 เมื่อปี 2566 เป็นร้อยละ 5.8 และ 4.3 ในปี 2567 และปี 2568 ตามลำดับ โดยประเทศที่มีก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มประสบความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ตามเป้าหมายมากกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ หากภาวะหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนรุนแรงและยาวนานมากขึ้น จะยิ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอ่อนแอและอาจเกิดผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน การมุ่งดำเนินนโยบายคุ้มครองทางการค้า จะทำให้ภาวะการค้าโลกตึงเครียด ลดประสิทธิภาพของตลาด และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น ทั้งนี้ IMF เสนอแนะว่าประเทศต่างๆจำเป็นต้องเพิ่มความร่วมมือพหุภาคีมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการควบคุมหนี้สาธารณะ และการให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่สุด